ตำรับยารักษาโรคต้อ ในตำราแพทย์แผนไทย

 

ตำรับยาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่สืบทอดกันมา โดยมีทั้งตำรับจาก “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” และตำรับจาก “ตำรายาหลวงปู่สุข” รวมถึง “ตำรายากลางบ้าน” ซึ่งแต่ละตำรับมีส่วนผสม วิธีปรุง และวิธีใช้ที่แตกต่างกันไป


 

ตำรับยาแบบป้ายตาและหยอดตา (จากตำราพระโอสถพระนารายณ์)

 

ตำรับยาจากตำราพระโอสถพระนารายณ์ส่วนใหญ่จะเน้นการเตรียมยาในรูปแบบแท่ง แล้วนำมาฝนกับของเหลวเพื่อป้ายหรือหยอดตา

 

1. ยาเฟื่องสุมทร์

 

  • ส่วนประกอบ: ดีจระเข้ 1 ส่วน, สารส้ม 1 ส่วน, ดินถนำสุทธิ 2 ส่วน, ใบทองหลางใบมน 3 ส่วน
  • วิธีปรุง: นำส่วนประกอบทั้งหมดมาบดรวมกันแล้วทำเป็นแท่งเก็บไว้
  • วิธีใช้: ฝนแท่งยากับน้ำมะนาว แล้วนำมาป้ายบริเวณดวงตา

 

2. ยาเทพยจักษุ

 

  • ส่วนประกอบ: พิมเสน 1 ส่วน, พริกล่อน (พริกไทยขาว) 1 ส่วน, สมอไทย 1 ส่วน, สมอพิเภก 1 ส่วน, ตุ๊กต่ำน้ำเงินสุทธิ 1 ส่วน, สังข์สุทธิ 1 ส่วน, บัลลังก์ศิลาสุทธิ 1 ส่วน, ดินถนำ 2 ส่วน
  • วิธีปรุง: นำส่วนประกอบทั้งหมดมาบดกับน้ำนมแพะ ทำเป็นแท่งแล้วตากในที่ร่มจนแห้ง
  • วิธีใช้: ฝนแท่งยากับน้ำท่า (น้ำในแม่น้ำลำธาร) แล้วป้ายบริเวณดวงตา

 

3. ยาอินทโชติ

 

  • ส่วนประกอบ: ชะมดสด 4 ส่วน, ตุ๊กต่ำน้ำทอง 4 ส่วน, ฝิ่นสุทธิ 2 ส่วน, เบี้ยผู้ (เบี้ยตัวผู้) เผา 2 ส่วน, เปลือกหอยสังข์เผา 2 ส่วน, อุตพิด 2 ส่วน, ดีปลี 2 ส่วน, ดีงูเหลืม 3 ส่วน, ศิลายอน 3 ส่วน, กำยาน 3 ส่วน, พิมเสน 4 ส่วน, ดินถนำ 4 ส่วน, บัลลังก์ศิลา 4 ส่วน, ครั้งตุ้น 4 ส่วน, เปลือกมะขามขบ 4 ส่วน, สีเสียดเทศ 4 ส่วน, ผลจันทน์เทศ 4 ส่วน, แก่นจันทน์ทั้งสอง สิ่งละ 4 ส่วน, แก่นสน 4 ส่วน, แก่นช้องแมว 4 ส่วน, แก่นเหล็ก 4 ส่วน, รากย่านาง 4 ส่วน, รากขัดมอน 4 ส่วน, รากตานหม่อน 4 ส่วน, แห้วหมู 4 ส่วน, ผลมะฝ่อ 4 ส่วน
  • วิธีปรุง: นำส่วนประกอบทั้งหมดมาบดรวมกันกับน้ำมะงั่ว ทำเป็นแท่งเก็บไว้
  • วิธีใช้: ฝนแท่งยาแล้วป้ายใส่ดวงตา

 

4. ยาสุวรรณโกรลาศ

 

  • ส่วนประกอบ: บัลลังก์ศิลา 4 ส่วน, เมล็ดในมะฝ่อ 4 ส่วน, เปลือกมะขามขบ 4 ส่วน, แก่นจันทน์แดง 4 ส่วน, แก่นช้องแมว 4 ส่วน, พิมเสน 4 ส่วน, ชาดหรคุณจิ้น 1 ส่วน
  • วิธีปรุง: นำส่วนประกอบทั้งหมดมาบดเป็นผง เติมทองคำเปลวเล็กน้อย ผสมกับน้ำดอกไม้เทศ (น้ำที่มีน้ำมันดอกยี่สุ่นหรือกุหลาบมอญละลายอิ่มตัว) แล้วทำเป็นแท่งเก็บไว้
  • วิธีใช้: ฝนแท่งยาแล้วป้ายใส่ดวงตา

 

ตำรับยาขนาด ที่ 5

ยาหยอดตาจากดอกมะลิ (จากตำรายาหลวงปู่สุข)

 

  • ส่วนผสม:
    • ดอกมะลิ 1 กำมือ
    • พิมเสนแท้ 2 เกล็ด
  • วิธีปรุง:
    1. นำดอกมะลิ 1 กำมือมาตำให้ละเอียด
    2. ผสมดอกมะลิที่ตำแล้วกับพิมเสน 2 เกล็ด
    3. ห่อส่วนผสมทั้งหมดด้วยผ้าขาวบาง แล้วคั้นเอาน้ำยาออกมา
  • วิธีใช้: ใช้น้ำยาที่ได้หยอดตาครั้งละ 4-5 ครั้งต่อวัน

 

ตำรับยาขนานที่ 6

ยาหยอดตาจากสมุนไพรบด (จากตำรายาหลวงปู่สุข)

 

  • ส่วนผสม:
    • รากอัญชัน 2 บาท
    • หัวไพล 2 บาท
    • ขมิ้นอ้อย 2 บาท
  • วิธีปรุง:
    1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกันให้ละเอียด
    2. ปั้นเป็นแท่งแล้วเก็บไว้
  • วิธีใช้: เมื่อจะใช้ ให้ฝนแท่งยาที่เตรียมไว้กับน้ำฝนกลางหาว (น้ำฝนที่รองกลางแจ้ง) แล้วนำมาหยอดตา

 

ตำรับยาขนานที่ 7

ยาหยอดตาสรรพคุณชะงัด (จากตำรายากลางบ้าน)

 

  • ส่วนผสม:
    • ขมิ้นอ้อย 2 บาท
    • รากหางนกกะลิง 2 บาท
    • รากอัญชัน 2 บาท
  • วิธีปรุง:
    1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาตำรวมกันให้ละเอียด
    2. ห่อด้วยผ้าขาวบาง
    3. นำห่อสมุนไพรไปแช่ในน้ำฝน
  • วิธีใช้: ใช้น้ำฝนที่แช่สมุนไพรแล้วนำมาหยอดตา (ตำรับนี้ระบุว่ามีสรรพคุณชะงัดนัก)

 

ตำรับยาสำหรับสูดไอน้ำ

 

ตำรับยาขนานที่ 8

ยาสูดไอน้ำแก้ต้อ (จากตำรายาหลวงปู่สุข)

 

  • ส่วนผสม:
    • ใบข่า 3 ใบ (เลือกใบเล็กๆ)
    • ขมิ้นอ้อย 1 หัว (เลือกหัวใหญ่ๆ)
    • ผักบุ้งไทย 1 กำมือ
  • วิธีปรุง:
    1. นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในหม้อดิน
    2. เติมน้ำพอสมควร แล้วต้มจนเดือดจึงยกหม้อลง
  • วิธีใช้:
    1. ขณะที่หม้อยังร้อนอยู่ ให้เปิดฝาหม้อ
    2. นำผ้าขาวบางมาคลุมปากหม้อไว้
    3. ให้ผู้ป่วยก้มหน้า ลืมตาเพื่อรับไอน้ำยาที่พวยพุ่งขึ้นมา
    4. ทำเช่นนี้วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3-4 วัน หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ปรุงยาต้มใหม่

 

ตำรับยาป้ายตา

 

ตำรับยาขนานที่ 9

ยาป้ายตาจากสมุนไพรบด (จากตำราพระโอสถพระนารายณ์)

 

  • ส่วนผสม:
    • พิมเสน 2 ส่วน
    • รากอัญชัน ทั้งสอง (หมายถึงรากอัญชันดอกขาวและดอกม่วง) อย่างละ 2 ส่วน
    • รากชี้เหล็ก 2 ส่วน
    • รากชี้กาแดง 2 ส่วน
    • รากขัดมอน 2 ส่วน
  • วิธีปรุง:
    1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกันให้เป็นผง
    2. ปั้นเป็นแท่งแล้วเก็บไว้
  • วิธีใช้: เมื่อจะใช้ ให้ฝนแท่งยาด้วยน้ำมะนาว แล้วนำมาป้ายบริเวณดวงตา

คำแนะนำสำคัญ: ตำรับยาแผนโบราณเหล่านี้ควรใช้อย่างระมัดระวังและภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทยเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันก่อนการใช้ยาใดๆ เสมอ