Table of Contents
Toggleยารักษาโรคกระเพาะ
ตำรับยารักษาโรคกระเพาะ: ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย
ยารักษาโรคกระเพาะ โรคกระเพาะอาหาร หรืออาการปวดแสบในกระเพาะ มักเกิดจากการอักเสบหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งสร้างความไม่สบายอย่างมาก ตำราแพทย์แผนไทยโบราณได้บันทึกวิธีการบำบัดด้วยสมุนไพรและส่วนประกอบจากธรรมชาติหลากหลายวิธี โดยเน้นการบรรเทาอาการและปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร
1. ตำรับยาจากเกลือทะเลและไข่ขาว
ตำรับนี้มาจาก จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ซึ่งมีการผสมผสานพิธีกรรมทางความเชื่อในการเตรียมยา
- ส่วนประกอบ:
- เกลือทะเล (ชนิดเม็ด) 3 กำมือ (ที่ผู้ป่วยหยิบเอง)
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- วิธีปรุงยา:
- ให้ผู้ป่วยหยิบเกลือทะเลด้วยตนเอง โดยขณะหยิบแต่ละครั้งให้กลั้นใจและบริกรรมคาถา:
- หยิบครั้งที่ 1: “พุทธังปัจจักขามิ” (หยิบเกลือ 1 กำมือ)
- หยิบครั้งที่ 2: “ธัมมังปัจจักขามิ” (หยิบเกลือ 1 กำมือ)
- หยิบครั้งที่ 3: “สังมังปัจจักขามิ” (หยิบเกลือ 1 กำมือ)
- นำเกลือทั้งสามกำมือใส่หม้อดิน ปิดฝาหม้อ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ สะตุ ให้สุก (ไม่ต้องใส่น้ำ) การสะตุคือการทำให้สารบริสุทธิ์หรือลดพิษโดยการเผาหรือทำให้ร้อน
- ตอกไข่ไก่ 3 ฟอง เอาเฉพาะไข่ขาว ใส่ลงในเกลือที่สะตุสุกแล้ว
- เก็บใส่ภาชนะสำหรับรับประทาน
- ให้ผู้ป่วยหยิบเกลือทะเลด้วยตนเอง โดยขณะหยิบแต่ละครั้งให้กลั้นใจและบริกรรมคาถา:
- วิธีรับประทาน:
- รับประทานก่อนอาหาร วันละ 2 เวลา (เช้าและเย็น) ครั้งละ 1 ช้อนกาแฟ โดยตักใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม
2. ตำรับยาเม็ดลูกกลอนจากขมิ้นชันและน้ำผึ้งแท้
ตำรับนี้จาก จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นที่นิยมและรู้จักกันดีในปัจจุบัน เนื่องจากขมิ้นชันมีสรรพคุณเด่นในการรักษาโรคกระเพาะ
- ส่วนประกอบ:
- ขมิ้นชันสด (เลือกที่แก่ๆ)
- น้ำผึ้งแท้
- วิธีปรุงยา:
- นำขมิ้นชันสดไปหั่นบางๆ แล้วตากแดดให้แห้ง (ไม่เกิน 2 วัน)
- นำขมิ้นชันแห้งมาตำให้ละเอียด
- ผสมผงขมิ้นชันกับน้ำผึ้ง แล้วปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย
- วิธีรับประทาน:
- รับประทานก่อนอาหาร วันละ 2 เวลา (เช้าและเย็น) ครั้งละ 1 เม็ด
3. ตำรับยาต้มรวมจากสมุนไพรหลายชนิด
ตำรับนี้จาก ตำรายาหลวงปู่สุข ใช้สมุนไพรจำนวนมากมาต้มรวมกัน เพื่อดื่มบำรุงและรักษาโรคกระเพาะ
- ส่วนประกอบ: (แต่ละส่วนปริมาณเท่ากัน)
- เจตมูลเพลิง 2 สลึง
- สะค้าน 2 สลึง
- หัวยาข้าวเย็นทั้งสอง (ยาข้าวเย็นเหนือและยาข้าวเย็นใต้) 2 สลึง
- จันทน์ทั้งสอง (จันทน์แดง, จันทน์ขาว) 2 สลึง
- บอระเพ็ด 2 สลึง
- กำมะถันเหลือง 2 สลึง
- ดีปลี 2 สลึง
- หัวแห้วหมู 2 สลึง
- ชะพลู 2 สลึง
- ชี้ครั่ง 2 สลึง
- ผลมะตูมอ่อน 2 สลึง
- จุกโรหินี่ 2 สลึง
- เปลือกต้นโมกมัน 2 สลึง
- แก่นสน 2 สลึง
- เนระพูสี 2 สลึง
- เกสรทั้งห้า (เกสรดอกบัวหลวง, เกสรดอกมะลิ, เกสรดอกพิกุล, เกสรดอกบุนนาค, เกสรดอกสารภี) อย่างละ 2 สลึง
- วิธีปรุงยา:
- นำเครื่องยาทั้งหมดใส่ลงในหม้อดิน ต้มรวมกัน
- กรองเอาแต่น้ำยาสำหรับดื่ม
- วิธีรับประทาน:
- ดื่มได้ตลอดเวลา ครั้งละ 1 ถ้วยชา
4. ตำรับยาต้มจากผักเป็ดแดงและสมุนไพรพื้นบ้าน
ตำรับนี้มาจาก ตำรายาสมุนไพรไทยพระครูวิทิตวรเวช (ส.เปลี่ยนศรี) ซึ่งเน้นการใช้สมุนไพรต้มดื่มอย่างต่อเนื่อง
- ส่วนประกอบ:
- ผักเป็ดแดง
- มะตูมอ่อน
- ไพล
- บอระเพ็ด
- (ส่วนผสมทั้งหมดปริมาณเท่ากัน)
- วิธีปรุงยา:
- นำเครื่องยาทั้งหมดใส่ลงในหม้อ ต้มรวมกัน
- กรองเอาแต่น้ำยาสำหรับดื่ม
- วิธีรับประทาน:
- ดื่มก่อนอาหาร วันละ 2 เวลา (เช้าและเย็น) ครั้งละ 1 ถ้วยชา ให้ดื่มยานี้จนกว่าจะหาย
5. ตำรับยาเม็ดลูกกลอนจากใบยอและสมุนไพรฤทธิ์ร้อน
ตำรับนี้จาก ตำรายากลางบ้าน ใช้ใบยอผสมกับสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนเพื่อปั้นเป็นลูกกลอน
- ส่วนประกอบ:
- ใบต้นยอ 4 บาท (ชนิดไม่อ่อนหรือแก่เกินไป)
- พริกไทยล่อน 4 บาท (พริกไทยขาว)
- ขิงแห้ง 4 บาท
- ดีปลี 4 บาท
- วิธีปรุงยา:
- นำเครื่องยาทั้งหมดไปตากแดดให้แห้ง
- บดเป็นผง
- ผสมกับน้ำผึ้งแท้ หรือน้ำร้อน เป็นกระสายยา (ตัวทำละลายหรือช่วยให้ยาเข้ากัน)
- ปั้นเป็นลูกกลอน
- วิธีรับประทาน:
- รับประทานหลังอาหาร
ข้อควรพิจารณาและคำแนะนำที่สำคัญ:
โรคกระเพาะอาหารเป็นภาวะที่ควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น แผลในกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกในทางเดินอาหาร
ตำรับยาแผนโบราณเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่า แต่การนำไปใช้ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตำรับที่มีส่วนผสมซับซ้อน หรือต้องผ่านกรรมวิธีพิเศษ (เช่น การสะตุ, การลงคาถา) ควรดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากนี้ บางส่วนผสมอาจมีข้อควรระวังในการใช้กับบางบุคคล
ขอแนะนำอย่างยิ่งว่า หากคุณมีอาการของโรคกระเพาะอาหาร ควรรีบปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด การใช้ยาสมุนไพรหรือตำรับยาแผนไทยควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ครับ