Table of Contents
Toggleเกี่ยวกับตำรับยาโบราณ
เกี่ยวกับตำรับยาโบราณ นั้นเปรียบเสมือน “คลังความรู้” ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน เป็นบันทึกแห่งภูมิปัญญาในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชสมุนไพร เพื่อดูแลรักษาสุขภาพและบำบัดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งมีความน่าสนใจในหลายแง่มุมเลยทีเดียวค่ะ
ในอดีตที่การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่แพร่หลาย ตำรับยาโบราณถือเป็น “ที่พึ่ง” ที่สำคัญของชุมชน การเรียนรู้และสืบทอดความรู้เกี่ยวกับยาเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง มักจะมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัว หรือผ่านครูบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ
เกี่ยวกับตำรับยาโบราณ เสน่ห์และความน่าสนใจของตำรับยาโบราณ:
- ความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ: ส่วนประกอบหลักของตำรับยาโบราณมักมาจากพืชสมุนไพร แร่ธาตุ หรือสัตว์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในคุณสมบัติทางยาของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ
- ภูมิปัญญาในการปรุงยา: การนำส่วนต่างๆ ของพืชมาใช้ การผสมผสานตัวยาหลายชนิดในสัดส่วนที่เหมาะสม และวิธีการเตรียมยาที่หลากหลาย (เช่น ต้ม ดอง บด พอก) ล้วนสะท้อนถึงภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่สั่งสมมา
- ความหลากหลายตามท้องถิ่น: ตำรับยาโบราณมักมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากมีการใช้พืชสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ ทำให้เกิดความหลากหลายของตำรับยา
- ความเชื่อและพิธีกรรม: ในบางครั้ง การใช้ตำรับยาโบราณก็มีความเชื่อมโยงกับความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น
- คุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม: ตำรับยาโบราณเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ และภูมิปัญญาของคนในอดีต
อย่างไรก็ตาม การนำตำรับยาโบราณมาใช้ในปัจจุบันก็ต้องมีความระมัดระวังและควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากความแตกต่างของสภาพร่างกายแต่ละบุคคล และความเข้มข้นของตัวยาที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละตำรับ
หลักนาสัช
การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรเป็นวิธีการรักษาโรคที่มีมาแต่โบราณกาล แม้ว่าความรู้ด้านการแพทย์จะมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นลําดับ แต่การใช้สมุนไพร รักษาโรคซึ่งเป็นภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ ก็ยังคงมีการถ่ายทอดความรู้สืบต่อ กันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร (ตํารายาโบราณ) หรือ การถ่ายทอดระหว่างบุคคล โดยในการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรนั้น ผู้ให้การ รักษาจําเป็นต้องทราบหลักการต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงธรรมชาติของยาสมุนไพร แยกแยะประเภทของเครื่องยาที่นํามาปรุงรวมกัน และนําไปใช้ได้อย่างถูกต้อง สําหรับหลักการที่เรียกว่า “หลักเภสัช” ซึ่งผู้ใช้ควรทราบ ได้แก่
๑. เภสัชวัตถุ คือ การรู้จักวัตถุธาตุแต่ละชนิดที่จะนํามาปรุงเป็นยา
สมุนไพรเพื่อรักษาโรค โดยเภสัชวัตถุจําแนกเป็น ๓ ประเภท
๑.๑ พืชวัตถุ หมายถึง พืชต่างๆ ที่นํามาใช้ทําเป็นยา ซึ่งยาแต่ละ ประเภทก็อาจใช้ส่วนต่างๆ ของพืชแตกต่างกันไป เช่น ราก หัว ต้น แก่น เปลือก ใบ ดอก เกสร ผล เมล็ด
๑.๒ สัตว์วัตถุ หมายถึง ร่างกายและอวัยวะของสัตว์ที่นํามาใช้ ทําเป็นยา เช่น ขน เขียว เขา เขา น้ําดี
๑.๓ ธาตุวัตถุ หมายถึง แร่ธาตุที่เกิดขึ้นเองหรือสังเคราะห์ขึ้น
๒. สรรพคุณเภสัช หมายถึง การรู้จักสรรพคุณของสิ่งที่นํามาทําเป็นยา
๓. คณาเภสัช หมายถึง การรู้จักการจัดหมวดหมู่ของตัวยา โดยชื่อ ตัวยา ๑ ชื่อ อาจประกอบไปด้วยสมุนไพรหรือวัตถุธาตุหลายสิ่ง ซึ่งทางการ แพทย์แผนโบราณได้แบ่งหมวดหมู่ไว้ก็เพื่อสะดวกแก่การจดจํา เรียกว่า “พิกัดยา” แบ่งออกเป็น ๓ หมวด
๓.๑ จุลพิกัด หมายถึง ตัวยาที่มีข้อแตกต่างกันจากถิ่นที่กําเนิด
สี่ ขนาด หรือรส เป็นต้น
๓.๒ พิกัด หมายถึง ตัวยาตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป แต่รวมเรียกเป็น ชื่อเดียว โดยที่ตัวยาที่นํามารวมกัน ต้องใช้น้ําหนักเท่ากัน
๓.๓ มหาพิกัด หมายถึง ตัวยาหลายสิ่ง แต่รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกัน โดยตัวยาแต่ละสิ่งอาจมีน้ําหนักไม่เท่ากัน
๔. เภสัชกรรม คือ การรู้จักวิธีการปรุงยา การผสมเครื่องยา การชั่ง การ เลือกเครื่องยา ตามตํารับยาต่างๆ
สมุนไพรที่เรียกเป็นกลุ่มที่ใช้นี้
| ชื่อพิกัดยา | ตัวยาที่ประกอบกัน |
| กะเพราทั้งสอง | กะเพราขาว กะเพราแดง |
| กุ่มทั้งสอง | กุ่มบก กุ่มน้ํา |
| ข่าทั้งสอง | ข่าเล็ก (ข่าป่า) ขาใหญ่ (ข่าตาแดง) |
| ข้าวเย็นทั้งสอง | ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ |
| จันทน์ทั้งสอง | จันทน์ขาว จันทน์แดง |
| เปล้าทั้งสอง | เปล้าน้อย เปล้าใหญ่ (เปล้าหลวง) |
| ผักชีทั้งสอง | ผักชีไทย ผักชีลาว |
| แฝกทั้งสอง | แฝกหอม หญ้าแฝก |
| มะแว้งทั้งสอง | มะแว้งเครือ มะแว้งต้น |
| มะกล่ำทงสอง | มะกล่ำเผือก มะกล่ำธรรมดา |
| ส้มกุ้งทั้งสอง | ส้มกุ้งน้อย ส้มกุ้งใหญ่ |
| สหัสคุณทั้งสอง | สหัสคุณไทย สหัสคุณเทศ |
| แสมทั้งสอง | แสมสาร แสมทะเล |
| อบเชยทั้งสอง | อบเชยเทศ อบเชยไทย |
| อัญชันทั้งสอง | อัญชันดอกขาว อัญชันดอกม่วง |
| ตรีกฏุก | พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง (เครื่องยาที่เผ็ดร้อน ๓ สิ่ง) |
| ตรีผลา | สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม (ผลไม้ ๓ สิ่ง) |
| สมอทั้งสาม | สมอไทย สมอพิเภก สมอเทศ |
| เกสรทั้งห้า | เกสรดอกไม้ห้าชนิด คือ พิกุล บุนนาค สารภี บัวหลวง มะลิ |
| โกฐทั้งห้า | โกฐหัวบัว โกฐสอ โกฐเขมา โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา |
| เทียนทั้งห้า | เทียนดํา เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนแดง เทียนตาตั๊กแตน |
| เบญจกูล | ขิง ดีปลี ชะพลู สะค้าน เจตมูลเพลิง |
| โกฐทั้งเก้า | โกฐหัวบัว โกฐสอ โกฐเขมา โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา โกฐกระดูก โกฐ ก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐชฎามัง |
มาตราชั่งตวง
นอกจากหลักเภสัชที่ผู้ให้การรักษาควรทราบเพื่อประสิทธิผลในการ ให้การรักษาแล้ว การปรุงยาแผนโบราณยังจําเป็นต้องทราบมาตราชั่งตวงให้ ถูกสัดส่วนด้วย และเนื่องจากตํารายาส่วนใหญ่นั้น เป็นตํารายาโบราณ ดังนั้น มาตราชั่งตวงภายในเล่ม จึงเป็นมาตราชั่งตวงไทยแบบโบราณ ดังนี้
มาตราชั่ง
๔ ไพ เป็น ๑ เฟื้อง
๒ เฟื้อง เป็น ๑ สลึง
๔ สลึง เป็น ๑ บาท
๔ บาท เป็น ๑ ตําลึง
๒๐ ตําลึง เป็น ๑ ชั่ง
๑ ชั่ง เป็น ๘๐ บาท
มาตราชั่งเปรียบเทียบ
๑ หุน เท่ากับ ๐.๓๗๕ กรัม
๑ ไพ เท่ากับ ๐.๔๖๔๗๕ กรัม
๑ เฟื้อง เท่ากับ ๑.๔๗๕ กรัม
๑ สลึง เท่ากับ ๓.๗๕๐ กรัม
๑ บาท เท่ากับ ๑๕ กรัม
๑ ตำลึง เท่ากับ ๖๐ กรัม
๑ ชั่ง เท่ากับ ๑,๒๐๐ กรัม (๑.๒๐ กิโลกรัม)
มาตราตวง
๑๕๐ เม็ดข้าวเปลือก เท่ากับ ๑ หยิบมือ
๔ หยิบมือ เท่ากับ ๑ กำมือ
๔ กำมือ เท่ากับ ๑ พายมือ
๒ พายมือ เท่ากับ ๑ กอบมือ
๔ กอบมือ เท่ากับ ๑ ทะนาน หรือ ๑ ลิตร
มาตราตวงเปรียบเทียบ
๑ ทะนาน เท่ากับ ๑,๐๐๐ ซี.ซี. หรือ ๑ ลิตร
๑๕ หยด เท่ากับ ๑ ซี.ซี.
๑ ช้อนชา(ช้อนกาแฟ) เท่ากับ ๔ ซี.ซี.
๑ ช้อนหวาน เท่ากับ ๘ ซี.ซี.
๑ ช้อนโต๊ะ(ช้อนคาว) เท่ากับ ๑๕ ซี.ซี.
๑ ถ้วยชา(ถ้วยกาแฟ) เท่ากับ ๓๐ ซี.ซี.
คําศัพท์เกี่ยวกับการปรุงยา
* สะตุ หมายถึง แปรรูปลักษณะของบางอย่าง เช่น เกลือ สารส้ม จุน ให้เป็นผงบริสุทธิ์โดยวิธีทําให้ร้อนจัดด้วยไฟ เพื่อให้สิ่งที่ไม่ต้องการสลายกลาย
เป็นควันไป
* น้ําอัษฎางคุลี หมายถึง น้ําผลไม้รวมแปดอย่าง ได้แก่ น้ํามะม่วง น้ําชมพู่หรือน้ําลูกหว้า น้ํากล้วยมีเมล็ด น้ํากล้วยไม่มีเมล็ด น้ํามะซาง น้ําลูกจันทน์หรือน้ําองุ่น น้ําเหง้าบัว น้ํามะปรางหรือน้ําลิ้นจี่ ซึ่งทําได้โดย ปอกเปลือกผลไม้ที่สุกออกแล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง บีบหรือคั้นน้ําออกมา ส่วน ผลไม้ที่ไม่มีน้ํา ให้ทุบพอบุบแล้วแช่น้ํา จากนั้นให้นําไปตากแดดจนสุก จึงนํา มาบีบหรือคั้นน้ําผสมกัน
* หางหนูมะพร้าว หมายถึง ส่วนของรากหรือเหง้าแห้งของโกฐ ก้านพร้าว ซึ่งมีลักษณะกลมยาว ผิวขรุขระ เนื้อนิ่ม
* ยาดํา หมายถึง ยางที่แข็งเป็นก้อน ซึ่งได้จากการตัดโคนใบว่านหาง จระเข้ส่วนที่ใกล้กับผิวดิน แล้วรองน้ํายางสีเหลืองไว้ให้ได้จํานวนหนึ่ง จากนั้น นําน้ํายางสีเหลืองไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนเหนียวข้น ก่อนจะนํามาผึ่งแดดได้เป็นก้อนแข็งสีดํา
* ข้าวเบื่อ หมายถึง ข้าวที่ได้จากการนําข้าวสารมาแช่น้ํา จนสีของ เมล็ดข้าวสารเปลี่ยนจากสีขาวใส เป็นชาวขุ่น จากนั้นพักให้สะเด็ดน้ํา แล้วนํา
มาตําให้ละเอียด
* กระสายยา หมายถึง ตัวทําละลายยา เช่น น้ําลอยดอกไม้ น้ําปูนใส น้ําท่า (น้ําในแม่น้ําลําธาร) เป็นต้น
* วิธีการต้มยา ในกรณีที่เป็นยาต้ม ให้นําเครื่องยาใส่ลงในหม้อดิน หม้อเคลือบ หม้อสแตนเลส หรือหม้อแก้วก็ได้ แต่ห้ามใช้หม้ออะลูมิเนียมใน การต้ม จากนั้นเติมน้ําพอท่วมยาแล้วตั้งไฟให้เดือด ต้มต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงนํามาดื่มได้
การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตำรับยาโบราณจึงไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แต่ยังอาจเป็น “แหล่งค้นคว้า” ที่สำคัญสำหรับการพัฒนายาและการรักษาโรคในปัจจุบันได้อีกด้วย
